ประวัติความเป็นมาของการสักยันต์ต้นกำเนิดและการแพร่กระจายของสักยันต์ในประเทศไทยนั้นมีวัดมากมายที่สามารถเดินทางไปเข้าพิธีเพื่อสักยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ว่าพระสงฆ์ที่วัดใดก็ได้ที่จะสามารถทำการลงอักขระให้ได้ พระสงฆ์ผู้ที่ลงอักขระหรือสักให้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างชำนาญการแล้วจึงจะสามารถสักยันต์ให้ได้ เนื่องจากไม่ใช่เพียงแค่ศิลปะในการสักเท่านั้นในระหว่างสักจะต้องมีการสวดมนต์หรือท่องคาถาไปด้วยพร้อมๆกัน หรือเรียกง่ายก็คือ มือสักยันต์ไปปากก็ท่องมนต์ไปด้วยพร้อมๆกันและหมึกที่ใช่ในการสักนั้นเป็นเป็นหมึกที่เป็นผสมขึ้นมาพิเศษรู้เฉพาะพระอาจารย์ที่สืบทอดมารุ่นต่อเท่านั้น ในส่วนนี้เราจะแจ้งให้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการสักยันต์ สิ่งที่น่าสนใจคือประวัติความเป็นมาของการสักยันต์ แต่ก็ยังมีวิธีต่างๆที่แตกต่างกันไปในการสักยันต์ ท่านสามารถอ่านและศึกษาเกี่ยวเวทย์มนต์ที่ใช้เกี่ยวกับการสักยันต์นั้น มีทั้งสีขาวและสีดำ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ มีทั้งเวทมนตร์ที่ดีและไม่ดีที่สามารถใช้ในการสักยันต์ พระสงฆ์และอาจารย์(ผู้ชำนาญการสักยันต์แต่ไม่ใช่พระ)จะใช่วิธีปฏิบัติหรือการใช่บทสวดที่แตกต่างกัน การลงอังขระในการสักยันต์ ศิลปะการสักยันต์ในเอเชียเป็นต้นกำเนิดมากจากประเทศกัมพูชา โดยการสักยันต์นั้นได้ริเริ่มมากจากเมืองโบราณที่ชื่อว่า นครวัดและคงอยู่มานานมากกว่า 1000 ปีแล้ว สัญลักษณ์ที่ใช่เขียนหรือสักยันต์จะเป็นภาษาขอมโบราณและภาษาบาลีพุทธพระคัมภีร์ที่ได้รับการรับรองแล้ว ตัวอักษรที่ใช้ในการสักนั้นจะมีความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เรียกว่า อักษระหรืออักษรา ยันต์ (เป็นคำที่ใช้เรียกรอยสักยันต์)มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาฮินดูและถูกประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องและผสมผสานกับเวทมนตร์หรือไสยศาสตร์ เพื่อนำไปใช้เป็นตัวแทนของพระเจ้าและสืบทอดมามากกว่า 1000ปี รูปแบบของการสักยันต์ส่วนมากมักจะใช้เป็นรูปทรงเลขาคณิต ซึ่งจะเป็นแกนสะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่าย การสักยันต์จะปราศจากส่วนประกอบ3อย่างที่แตกต่างกันไม่ได้ คือ ยันตรา ตัวหนังสือภาษาบาลี และ เวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องหรือเรียกง่ายๆคือคาถาที่พระอาจารย์ใช้ท่องเวลาลงอักขระ การสักยันต์เป็นที่นิยมมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกัมพูชา ประเทศไทย และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศที่กล่าวมากข้างต้นนั้นรวมถึงประเทศไทยด้วยจะมีประเพณีเกี่ยวกับการสักยันต์ การสักหลักด้วยวัตถุประสงค์หลักคือ การต่อสู้ การรบและเพื่อการป้องกันตนเอง แต่สมัยก่อนผู้หญิงส่วนน้อยมากจะมีรอยสัก ในสมัยก่อนนั้นนักรบจะมีรอยสักและข้อความที่ไม่สามารถมองเห็นได้ที่หน้าอก หลัง และแขน ยันต์ที่สักนั้นจะช่วยเพิ่มกำลังให้แข็งแกร่งขึ้นและอดทน อีกทั้งยังช่วยป้องกันการได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ อีกทั้งความพ่ายแพ้หรือเสียชีวิต ภาพยันต์ที่หลังของนักรบจากหนังเรื่องยามาดะ: ซามูไรอยุธยา ถึงแม้ว่าตัวท่านเองจะไม่เชื่อในความมหัศจรรย์ของเวทมนต์ ถ้าอย่างนั้นลองให้ท่านจิตนาการ “ท่านกำลังนั่งอยู่กับนักรบ 100 คน ในเต็นท์ พระสงฆ์ผู้ที่เป็นสาวกของศาสนาพุทธเดินทางมาเพื่อที่จะทำพิธีสักยันต์ให้แก่ท่าน สักอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ท่านมีความแข็งแกร่งและความอดทนในขณะเดียวกัน การสักยันต์เป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดพอสมควรแต่ถ้าตัวท่านเป็นนักรบท่านจะสามารถกำจัดความเจ็บนั้นได้เป็นอย่างดี ในขณะที่พระสงฆ์ทำการสักยันต์ทำการสักยันต์นั้นจะมีการสวดมนต์ตลอดเวลาเพื่อเป็นการเพิ่มความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่รอยสัก หลังจากการสักและสวดมนต์เสร็จสิ้นลงสิ่งที่ท่านจะได้รับกลับมาคือยันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์และก็เปรียบเสมือนการได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนออกไปรบ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้ในความคิดของคุณคือ นั้นไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นักรบคือผู้ที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เนื่องจากพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ก่อนออกทำสงครามพวกเขาได้มีแรงจูงใจและพละกำลังเพื่อออกรบ สิ่งนั้นแหละที่พวกได้รับจากรอยสักยันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ คือพลังกำลัง แรงจูงใจ และที่พึ่งทางจิตใจและร่างกายในการสู้รบ วัดบางพระ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร
↑ กลับไปด้านบน ↑
|